ข่าวใหม่อัพเดท » ไทยร่วมมือองค์กรระหว่างประเทศในการดูแลผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา พร้อมรับทหารที่ขอหนีภัยการสู้รบ ตามหลักกฏหมายนุษยธรรมระหว่างประเทศ แต่ต้องปลดอาวุธเป็นพลเรือน

ไทยร่วมมือองค์กรระหว่างประเทศในการดูแลผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา พร้อมรับทหารที่ขอหนีภัยการสู้รบ ตามหลักกฏหมายนุษยธรรมระหว่างประเทศ แต่ต้องปลดอาวุธเป็นพลเรือน

24 เมษายน 2024
0

โฆษกกระทรวงต่างประเทศเผย ไทยร่วมมือองค์กรระหว่างประเทศในการดูแลผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา พร้อมรับทหารที่ขอหนีภัยการสู้รบ ตามหลักกฏหมายนุษยธรรมระหว่างประเทศ แต่ต้องปลดอาวุธเป็นพลเรือน

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ ในฐานะโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยถึงสถานการณ์การสู้รบในเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ตั้งแต่วันที่ 19 เม.ย.67 จากการปะทะกันระหว่างกลุ่มต่อต้านกับทหารรัฐบาลเมียนมา จนเกิดการปฏิบัติการทางอากาศ และมีผู้หนีภัยการสู้รบอพยพมายังประเทศไทย ในวันที่ 20 เม.ย.67 จำนวนเกือบ 3,000 คน ทำให้ต้องปิดด่านพรมแดน 2 ที่สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 2 ซึ่งส่งผลกระทบการค้าชายแดนที่มีการปิดชั่วคราวและปรับเส้นทางไปใช้ด่านอื่น เช่น ด่านแม่สาย จ.เชียงราย และด่านสิงขร จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น ส่วนด่านพรมแดนแม่สอด 1 ยังเปิดปกติ มีปัญหากรณีทาง ตม.เมียนมาที่ไม่สามารถออกบัตรผ่านแดนชั่วคราวให้ชาวเมียนมาได้ ส่วนคนไทยยังเข้าออกตามปกติ

โฆษกกระทรวงการต่างปรเทศ กล่าวว่า ในส่วนการดูแลสถานการณ์ทางทหารหน่วยเฉพาะกิจราชมนู กองกำลังนเรศวร กองทัพบก ได้วางกำลังรักษาอธิปไตยตามแนวชายแดน ในขณะที่กองทัพอากาศพร้อมอากาศยานเตรียมความพร้อมป้องกันอธิปไตยด้วย ซึ่งยังต้องจับตาสถานการณ์จากกรณีทางทหารเมียนมาส่งกำลังเสริมมาที่เมืองก็อกกาเร็ก
“กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือด่วนที่สุด เมื่อวันที่ 20 เม.ย.67 ถึงสถานเอกอัครราชทูตเมียนมา ประจำประเทศไทย ว่ารัฐบาลไทยมีความห่วงใยมากที่สุดต่อสถานการณ์ในเมืองเมียวดี ไทยขอให้รัฐบาลเมียนมาใช้ความระมัดระวังสูงสุดว่าสถานการณ์ในพื้นที่จะต้องไม่ส่งผลต่ออธิปไตยทั้งทางบกและอากาศ รวมถึงความปลอดภัยสูงสุดของประชาชนตามแนวชายแดน ไทยไม่ต้องการเห็นความรุนแรงและอยากเห็นสันติภาพในเมียนมากลับคืนมาโดยเร็วที่สุด”

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยถึงการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม มีการวางแผนสนับสนุนทางการแพทย์จากโรงพยาบาลแม่สอด ซึ่งมีการเตรียมการรับมือสถานการณ์ทั้งการเตรียมยาเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งการช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บไม่ได้เลือกปฏิบัติว่าจะเป็นทหารเมียนมา ฝ่ายต่อต้านหรือประชาชน และในการดูแลผู้หนีภัยการสู้รบมีการร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNHCR ที่มาดูแลเรื่องผ้าห่ม ที่นอน น้ำดื่ม และองค์กรระหว่างประเทศและภาคประชาสังคมในพื้นที่ที่มาช่วยสนับสนุนเรื่องอาหารด้วย และเตรียมประชุมร่วมกันเพื่อประสานความร่วมมือตามข้อริเริ่มระเบียงมนุษยธรรมที่ไทยได้ดำเนินการไปแล้ว 1 ครั้งในการส่งของช่วยเหลือไปยังผู้พลัดถิ่นในประเทศเมียนมา

ส่วนแนวทางรับมือกับทหารที่หนีภัยการสู้รบ ยืนยันตามที่นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ว่าไทยพร้อมรับทหารที่หนีภัยการสู้รบ ตามหลักกฏหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ แต่ต้องทำตามเงื่อนไขที่ทหารต้องปลดอาวุธ เป็นพลเรือน เมื่อมาแล้วไทยจะให้การดูแลตามหลักมนุษยธรรม จะไม่มีการผลักดันกลับ ถ้าจะกลับต้องมั่นใจว่าปลอดภัยแล้วเท่านั้น “เราพร้อมถ้ามีทหารขอหนีภัยมาไทย แต่มีแนวปฏิบัติที่ทำในกรณีเป็นทหาร แต่ขั้นตอนจะไม่เหมือนกับพลเรือน ที่ต้องปลดอาวุธ ต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นพลเรือน จึงรับมาดูแล และประสานงานส่งกลับตามช่องทางที่เหมาะสมเมื่อไม่มีอันตรายแล้ว เป็นไปตามหลักกฏหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ที่จะต้องไม่ผลักดันกลับไปสู่อันตรายด้วย”

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวเมียนมาหากหนีภัยการสู้รบเข้ามาไทย ต้องได้รับการช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม แต่ในกรณีนี้พื้นที่ชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก หากไม่มีหนังสือผ่านแดนชั่วคราวหรือ Border Pass จะผ่านแดนมาไทยหรือออกจากไทยไม่ได้ เพราะมีการระงับหนังสือเดินทางของชาวต่างชาติไม่สามารถข้ามแดนที่ด่านพรมแดนแม่สอด 1 ได้ แต่หากเข้ามาได้ จะมีกลไกในการรับมือกับกลุ่มคนเหล่านี้ ที่ต้องเข้าสู่กลไกการส่งต่อระดับชาติ NRM เพื่อคัดกรองว่าเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์หรือเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติหรือไม่ เมื่อได้รับการช่วยเหลือแล้วจะต้องถูกจับกุม ซึ่ง ตม.แม่สอด มีมาตรการรับมือไว้หมดแล้ว ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่ามีเหตุการณ์นี้ ถ้ามีก็มีแผนรับมือแล้ว

TheReporters #เดอะรีพอร์ตเตอร์ #เมียวดี #เมียนมา


นที มีเดช รายงาน

error: Content is protected !!