ข่าวใหม่อัพเดท » นายกฯ อนุทิน ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ แถลงผลปฏิบัติการ “ตัดหมอกเวียงแหง” และผลการจับยาเสพติด 3 คดีใหญ่ ในพื้นที่ภาคเหนือ

นายกฯ อนุทิน ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ แถลงผลปฏิบัติการ “ตัดหมอกเวียงแหง” และผลการจับยาเสพติด 3 คดีใหญ่ ในพื้นที่ภาคเหนือ

22 พฤศจิกายน 2025
0

นายกรัฐมนตรี แถลงผลปฏิบัติการ “ตัดหมอกเวียงแหง” ขบวนการนำคนต่างด้าวเข้ามาสวมตัว และทำหลักฐานเท็จในพื้นที่อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมแถลงผลการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือ 3 คดีใหญ่ ยึดยาบ้าได้ 11 ล้านเม็ด ไอซ์ล็อตใหญ่ 500 กิโลกรัม

วันนี้ (20 พ.ย. 68) ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ป.ป.ส. ป.ป.ท. และ ป.ป.ช. แถลงผลปฏิบัติการ “ตัดหมอกเวียงแหง” เป็นการดำเนินคดีกับขบวนการนำคนต่างด้าวเข้ามาสวมตัว และทำหลักฐานเท็จในพื้นที่อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งทำให้กระทบต่อความมั่นคงของชาติ หลังพบเจ้าหน้าที่รัฐร่วมกับนายหน้าสวมสิทธิ์ ทำเอกสารเท็จ และเรียกรับผลประโยชน์จากการจัดทำใบสำคัญถิ่นที่อยู่และสัญชาติไทย

โดยเครือข่ายนี้มีพฤติกรรมเรียกรับผลประโยชน์จากการจัดทำใบสำคัญถิ่นที่อยู่ถาวรและการให้สัญชาติไทย โดยนำคนต่างด้าวที่ไม่มีคุณสมบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2567 เข้ามาสวมตัว และบันทึกรายการเท็จในระบบทะเบียนราษฎร เพื่อให้ได้รับบัตรและสถานะโดยมิชอบ ซึ่งการจับกุมครั้งนี้ DSI เข้าจับกุมบุคคล ตามหมายจับของศาล จำนวน 28 ราย จับได้ทั้งหมด 12 ราย มีทั้งเจ้าหน้าที่รัฐระดับนายอำเภอ ปลัดอำเภอ อดีตลูกจ้างอำเภอ ผู้นำท้องถิ่น และกลุ่มต่างด้าวผู้ร่วมกระทำผิด

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า การจับกุมครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่กระทรวงมหาดไทยออกหมายจับระดับ “นายอำเภอ” ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตในระบบทะเบียนราษฎร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นเจตนารมณ์ของรัฐบาลว่า เราตั้งใจจริง เอาจริง และจะไม่ปกป้องคนผิด ไม่ว่าเขาจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม และสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความน่าอับอาย และเป็นความเลวร้าย เพราะขบวนการนี้มีเจ้าหน้าที่รัฐบางรายร่วมด้วย ได้ไปหาประโยชน์จากสิทธิของประชาชนกลุ่มเปราะบางที่รอคอยสถานะทางกฎหมาย ทั้งที่ประเทศไทยได้รับการชื่นชมจาก UNHCR ในการยุติสถานะไร้รัฐไร้สัญชาติ แต่กลับมีผู้ฉวยโอกาสหาผลประโยชน์ จากความเดือดร้อนของคนกลุ่มนี้

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้แถลงผลการจับกุมแก๊งลักลอบขนยาเสพติดรายใหญ่ในพื้นที่ภาคเหนือ 3 คดีสำคัญ ทำให้สามารถตรวจยึดยาบ้าได้มากถึง 11 ล้านเม็ด ไอซ์ จำนวน 500 กิโลกรัม

โดยคดีที่ 1 สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ในพื้นที่อำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยได้เข้าตรวจสอบรถยนต์กระบะ มาสด้า สีน้ำตาล บรรทุกหญ้าคาเต็มท้ายกระบะรถจอดค้างคืนอยู่บริเวณเมรุเผาภายในฌาปนสถาน บ้านปงเคียน ต.ดงมหาวัน อ.เวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าทำการตรวจค้น พบยาบ้า จำนวน 24 กระสอบ รวมประมาณ 6 ล้านเม็ด บรรทุกอยู่บริเวณในห้องโดยสารและบริเวณกระบะโดยมีหญ้าคาปกคลุมอยู่ จึงตรวจยึดไว้เป็นของกลาง เพื่อ สืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

ส่วนคดีที่ 2 สามารถจับกุมได้เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยตำรวจภูธรภาค 5 ได้ขยายผลการจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 2 คดีพบว่ากลุ่มผู้ต้องหา ใช้รถยนต์ลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่แนวชายแดนด้าน อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ลักลอบลำเลียงเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ จึงบูรณาการร่วมกับตำรวจภูธรจังหวัดเชียงรายและจังหวัดพะเยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสกัดจับกุมนายนำโชค พร้อมรถยนต์ 1 คัน ยาบ้า 17 กระสอบ รวมประมาณ 5 ล้านเม็ด ในพื้นที่ ต.ห้วยลาน อ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา

สำหรับคดีที่ 3 กองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่ามักมีรถยนต์บรรทุก มีพฤติการณ์หาฟางข้าวบรรทุกใส่รถเดินทางจากเชียงราย ไปยัง จ.สุพรรณบุรี บ่อยครั้ง เชื่อว่าอาจจะอำพรางบรรทุกสิ่งของผิดกฎหมาย จึงได้ทำการติดตาม พบรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าว เดินทางจาก อ.พาน ไปยัง อ.เชียงแสน ในช่วงเช้ามืด จึงได้เฝ้าติดตามพบผู้ต้องหา 2 คน คือนายนิติฐพนธ์ และ น.ส.วิมลวรรณ กำลังขนฟางข้าวขึ้นท้ายรถบรรทุกในลักษณะอำพราง จึงเข้าทำการตรวจค้น พบของกลาง ไอซ์ จำนวน 20 กระสอบ รวมประมาณ 500 กิโลกรัม บรรทุกอยู่กระบะท้ายรถ โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ไปลำเลียงยาเสพติดมาจากพื้นที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ในช่วงเช้ามืดจริง และกำลังจะลำเลียงไปส่งในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยได้รับค่าจ้างหลังจากนำยาเสพติดส่งปลายทางเรียบร้อยแล้วเป็นเงินจำนวน 1 ล้านบาท


นที มีเดช รายงาน

error: Content is protected !!