
ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ภาค 3 นำเสนอภารกิจ การสนับสนุนและอำนวยการการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) พื้นที่ภาคเหนือ
เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 เวลา 09.50 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพมหานคร ฯ พลตรี ชายแดน กฤษณสุวรรณ รองแม่ทัพภาคที่ 3 /รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ภาค 3 และ พันเอก พงษ์ยุทธ งามเกษม รองหัวหน้าศูนย์ควบคุมไฟป่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ภาค 3 เป็นผู้บรรยายบอร์ดนิทรรศการ การสนับสนุนและภารกิจอำนวยการการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) พื้นที่ภาคเหนือ ให้แก่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม, คณะรัฐมนตรี, พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, คณะผู้บริหารกระทรวงกลาโหม เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดแสดงนิทรรศการยุทโธปกรณ์ เทคโนโลยี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือประชาชน การบรรเทาสาธารณภัย และการพัฒนาประเทศของกระทรวงกลาโหม เรื่อง “การบรรเทาสาธารณภัยและช่วยเหลือประชาชนของกระทรวงกลาโหม” โดยมีคณะรัฐมนตรี และผู้บริหารหน่วยงานกระทรวงกลาโหมเข้าร่วม
นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี รับฟังภาพรวมการจัดแสดงนิทรรศการ “การบรรเทาสาธารณภัยและช่วยเหลือประชาชนของกระทรวงกลาโหม” ได้นำเสนอศักยภาพและขีดความสามารถของหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงกลาโหมอย่างเป็นรูปธรรม โดยแบ่งการจัดแสดงออกเป็น 2 หัวข้อหลักที่สะท้อนภารกิจสำคัญในการปกป้องและช่วยเหลือประชาชนในยามวิกฤต ดังนี้
ภารกิจที่หนึ่ง การค้นหาและกู้ภัยอาคารถล่มและแผ่นดินไหว หัวข้อนี้ได้จำลองสถานการณ์และแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของชุดปฏิบัติการพิเศษต่าง ๆ ที่ถูกฝึกฝนมาเพื่อรับมือกับภัยพิบัติร้ายแรง เช่น อาคารถล่มและแผ่นดินไหว โดยมีการนำเสนอชุดปฏิบัติการที่สำคัญ ได้แก่
ชุดค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (Urban Search and Rescue: USAR) ชุดปฏิบัติการนี้มีความเชี่ยวชาญในการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังของอาคารที่พังทลาย กำลังพลได้รับการฝึกฝนเทคนิคการเข้าถึงพื้นที่เสี่ยง การใช้อุปกรณ์พิเศษในการเจาะ ตัด ถ่างโครงสร้างที่เสียหายและการประเมินความปลอดภัยของพื้นที่ปฏิบัติงาน เพื่อให้สามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
ชุดแพทย์เผชิญเหตุ (Medical Emergency Response Team : MERT) พร้อม Drone ทางการแพทย์ ทีมปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉินเคลื่อนที่เร็ว (MERT) มีความพร้อมในการให้การรักษาพยาบาลเบื้องต้น ณ จุดเกิดเหตุอย่างทันท่วงที มีความเชี่ยวชาญในการประเมินอาการผู้ป่วย การให้การรักษาฉุกเฉิน และการลำเลียงผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลที่เหมาะสม รวมทั้งสนับสนุนทีมปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉินเคลื่อนที่เร็ว (MERT) ในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ณ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอเทคโนโลยี Drone ทางการแพทย์ ซึ่งสามารถใช้ในการสำรวจพื้นที่ประสบภัย ส่งเวชภัณฑ์เบื้องต้นหรือแม้กระทั่งช่วยในการประเมินสถานการณ์และติดต่อสื่อสารในพื้นที่ที่เข้าถึงยาก ซึ่งงานวิจัยหุ่นยนต์ค้นหาและกู้ภัย ส่วนนี้เป็นการแสดงศักยภาพของเทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่กระทรวงกลาโหมพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานกู้ภัย หุ่นยนต์ค้นหาและกู้ภัย สามารถเข้าไปสำรวจในพื้นที่อันตรายที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าถึงได้โดยง่าย เช่น ช่องแคบ ใต้ซากปรักหักพัง หรือพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการทรุดตัว หุ่นยนต์เหล่านี้มักติดตั้งกล้อง เซ็นเซอร์ และอุปกรณ์สื่อสารต่าง ๆ เพื่อส่งข้อมูลภาพ เสียง และสภาพแวดล้อมกลับมายังทีมควบคุม ทำให้สามารถค้นหาผู้ประสบภัยและประเมินสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำ
ชุดสุนัขกู้ภัย (Rescue Dog) สุนัขกู้ภัยเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการค้นหาผู้ประสบภัยที่ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง มีความสามารถในการดมกลิ่นที่เป็นเลิศ ทำให้สามารถตรวจจับร่องรอยของมนุษย์ได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน ชุดสุนัขกู้ภัยประกอบด้วย สุนัขที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ และผู้ควบคุมที่มีความเชี่ยวชาญในการนำทางและตีความสัญญาณจากสุนัข เพื่อให้การค้นหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี รับฟังภารกิจของชุดสุนัขกู้ภัย K9 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการค้นหาผู้ประสบภัยที่ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพักมาภายในงาน พร้อมกับสอบถามชื่อและอายุของสุนัข K9 2 ตัวที่มาโชว์ตัว พร้อมสอบถามว่าสุนัขกัดหรือไม่ ทหารพี่เลี้ยงตอบว่า ไม่กัด นายกรัฐมนตรี จึงเอามือลูบหัวสุนัขทั้ง 2 ตัว ด้วยความเอ็นดู
ภารกิจที่สอง การสนับสนุนการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) หัวข้อนี้แสดงให้เห็นถึงบทบาทของกระทรวงกลาโหมในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยมีการนำเสนอ ดังนี้
การจัดแสดงภารกิจการอำนวยการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ของศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ภาค 3 (ศอ.ปกป.ภาค 3) ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของกองทัพบก ส่วนนี้จะแสดงให้เห็นถึงกลไกการทำงานของ ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ภาค 3 (ศอ.ปกป.ภาค 3) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการป้องกัน เฝ้าระวัง และดับไฟป่า รวมถึงการจัดการปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองในพื้นที่รับผิดชอบ มีการนำเสนอแผนปฏิบัติการ การประสานงานกับเครือข่ายจิตอาสาภัยพิบัติ หน่วยงานภาคส่วนต่าง ๆ และการใช้ทรัพยากรของกองทัพบกในการสนับสนุนภารกิจ และการจัดแสดงเทคโนโลยีการเฝ้าติดตามและจัดทำแผนที่จุดความร้อน (Hot spot) จากดาวเทียมระบบ VIIRS ส่วนนี้เป็นการนำเสนอเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการตรวจจับและติดตามสถานการณ์ไฟป่าและจุดความร้อนดาวเทียมระบบ VIIRS (Visible Infrared Imaging Radiometer Suite) เป็นระบบที่สามารถตรวจจับรังสีอินฟราเรดที่ปล่อยออกมาจากไฟ ทำให้สามารถระบุตำแหน่งและขนาดของไฟป่าได้อย่างแม่นยำ ข้อมูลจากดาวเทียมจะถูกนำมาวิเคราะห์และจัดทำเป็นแผนที่จุดความร้อน ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางแผนการดับไฟ การเฝ้าระวัง และการประเมินความเสี่ยงของการเกิดไฟป่า รวมถึงการติดตามและประเมินสถานการณ์หมอกควันและฝุ่นละอองที่อาจมีสาเหตุมาจากไฟป่า
ซึ่ง นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมและรับฟังการบรรยายสรุป จาก พลตรี ชายแดน กฤษณสุวรรณ รองแม่ทัพภาคที่ 3 /รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ภาค 3 และ พันเอก พงษ์ยุทธ งามเกษม รองหัวหน้าศูนย์ควบคุมไฟป่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ภาค 3 เป็นผู้บรรยายบอร์ดนิทรรศการ ฯ
ทั้งนี้ ระหว่างเยี่ยมและรับฟังบรรยายสรุป นายกรัฐมนตรี กล่าวชื่นชมกระทรวงกลาโหมที่สามารถบูรณาการเทคโนโลยีและทรัพยากรของกองทัพมาใช้ในการช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในภารกิจการค้นหาและกู้ภัย การแพทย์ฉุกเฉิน และการแก้ไขปัญหาไฟป่าและมลพิษ PM 2.5 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทที่สำคัญของกองทัพในการสร้างความมั่นคงทั้งในด้านความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของประชาชน พร้อมทั้งเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานร่วมกันเสริมสร้างระบบการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ซึ่งการจัดแสดงนิทรรศการครั้งนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและศักยภาพของกระทรวงกลาโหมในการเตรียมพร้อมและตอบสนองต่อภัยพิบัติและสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของสังคมไทยต่อไป


