ข่าวใหม่อัพเดท » วิสาขบูชา วันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา (ประสูติ ตรัสรู้ปรินิพพาน)

วิสาขบูชา วันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา (ประสูติ ตรัสรู้ปรินิพพาน)

16 พฤษภาคม 2022
0

วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่เกิด ๓ เหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวียนมาบรรจบกันในวันเพ็ญเดือน ๖ แม้จะมีช่วงระยะเวลาห่างกันเป็นเวลาหลายสิบปี ซึ่งเหตุการณ์อัศจรรย์ ๓ ประการ ได้แก่…

(๑)วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ เมื่อพระนางสิริมหามายาพระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนางแปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ เพื่อประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวันพระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้นซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี ครั้นพระกุมมารประสูติได้ ๕ วัน ก็ได้รับการถวายพระนามว่า ”สิทธัตถะ” แปลว่า..สมปรารถนา..เมื่อข่าวการประสูติแพร่ไปถึงอสิตดาบสผู้อาศัยอยู่ในอาศรมเชิงเขาหิมาลัยและมีความคุ้นเคยกับพระเจ้าสุทโธทนะ ดาบสจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าและเมื่อเห็นพระราชกุมารก็ทำนายได้ทันทีว่านี่คือผู้จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงกล่าวพยากรณ์ว่า ”พระราชกุมารนี้จักบรรลุพระสัพพัญญุตญาณเห็นแจ้งพระนิพพานอันบริสุทธิ์อย่าวยิ่งทรงหวังประโยชน์แก่ชนเป็นอันมากจะประกาศธรรมจักรพรหมจรรย์ของพระกุมารนี้จักแพร่หลาย” แล้วกราบลงแทบพระบาทของพระกุมมาร พระเจ้าสุทโธทนะทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์นั้นทรงรู้สึกอัศจรรย์และเปี่ยมล้นด้วยปิติถึงกับทรุดพระองค์ลงอภิวาทพระราชกุมารตามอย่างดาบส…

(๒)วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ…หลังจากออกผนวชได้ ๖ ปี จนเมื่อพระชนมายุ ๓๕ พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมในตอนเช้ามืดของวันพุธ ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ ปีระกา ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยาเป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยาแห่งรัฐพิหารของอินเดีย…สิ่งที่ตรัสรู้ คืออริยสัจสี่ เป็นความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการของพระพุทธเจ้าซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่ต้นมหาโพธิ์และทรงเจริญสมาธิภาวนาจนจิตเป็นสมาธิได้ ฌานที่ ๔ แล้วบำเพ็ญภาวนาต่อไปจนได้ฌาน ๓ คือ -ยามต้น ทรงบรรลุ “ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ”คือทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่นได้ -ยามสอง ทรงบรรลุ “จุตูปปาตญาณ”คือการรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วยการมีตาทิพย์สามารถเห็นการจุติและอุบัติของวิญญาณทั้งหลาย -ยามสาม หรือยามสุดท้าย ทรงบรรลุ “อาสวักขยญาณ” คือรู้วิธีกำจัดกิเลสด้วยอริยสัจ ๔ (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค)ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ ซึ่งขณะนั้นพระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา…

(๓)วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน(ดับสังขารไม่กลับมาเกิดสร้างชาติสร้างภพอีกต่อไป)…เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมเป็นเวลานานถึง ๔๕ ปี จนมีพระชนมายุ ๘๐ พรรรษาได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคามใกล้เมืองเวสาลี แคว้นวัชชีในระหว่างนั้นทรงพระประชวรอย่างหนัก ครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน ๖ พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายก็ไปรับภัตตาหารบิณฑบาตที่บ้านนายจุนทะตามคำกราบทูลนิมนต์พระองค์เสวยสูกรมัททวะที่นายจุนทะตั้งใจทำถวายก็เกิดอาพาธลงแต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินาราประทับ ณ ป่าสาละเพื่อเสด็จดับขันธปรินิพพาน…เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า” ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด” หลังจากนั้นก็เสด็จเข้าดับขันธปรินิพพานในราตรีเพ็ญเดือน ๖ นั้น


error: Content is protected !!