ตม.สุราษฎร์ฯ ปูพรมกวาดล้าง จับต่างชาติโอเวอร์สเตย์ 2 ราย

ตม.สุราษฎร์ฯ ปูพรมกวาดล้าง จับต่างชาติโอเวอร์สเตย์ 2 ราย

ภายใต้การอำนวยการและสั่งการของ พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.ตม.6, พ.ต.อ. ศุภฤกษ์ พันธ์โกศล ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี, พ.ต.ท.บัญชา ลิมปิชาติ รอง ผกก.ตม.จว. สุราษฎร์ธานี สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สุราษฎร์ธานี สนธิกำลังกับจนท.ตำรวจท่องเที่ยว ออกตรวจและสืบสวนหาข่าวในช่วงระดมกวาดล้างบุคคลต่างชาติที่อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอยู่เกินกำหนดอนุญาต (OVERSTAY) ห้วงวันที่ 1-10 ธ.ค.65 ในพื้นที่รับผิดชอบ โดยมีผลการจับกุมคนต่างชาติ จำนวน 2 คน ดังนี้

1.Ms.MARIA GRACIELA FICARRA อายุ 61 ปี สัญชาติ อาร์เจนติน่า หนังสือเดินทางเลขที่ AAG082121 โดยกล่าวหาว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” (697วัน) สถานที่จับกุม บริเวณหน้าสถานีรถไฟสุราษฎร์ธานี ต.ท่าข้าม อ.พุนพิน จว.สุราษฎร์ธานี

2.MR.MATTHEW COLIN CHRISTOPHER STEELE อายุ 30 ปี สัญชาติ บริติช หนังสือเดินทางเลขที่ 130105195 โดยกล่าวหาว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด”(47วัน) สถานที่จับกุม บริเวณท่าเทียบเรือหาดริ้น ต.บ้านใต้ อ. เกาะพะงัน จว.สุราษฎร์ธานี

พร้อมนี้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ควบคุมตัวผู้ถูกจับ ส่งเพื่อดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป


ตม.จว.ปัตตานี จับกุมเครือข่ายให้การช่วยเหลือต่างด้าว หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักร โดยผิดกฎหมาย

ตม.จว.ปัตตานี จับกุมเครือข่ายให้การช่วยเหลือต่างด้าว หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักร โดยผิดกฎหมาย

เมื่อ 8 ตุลาคม 2565 เวลา 12 .00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.ภ.จว.ปัตตานี ได้ร่วมกันจับกุม นายพาริ สะอาด อายุ 41 ปี และคนต่างด้าวสัญชาติอเมียนหม่า จำนวน 7 คน สถานที่จับกุมบ้านเลขที่ 30/2 ม.1 ต.สาบัน อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาที่ 325 / 2565 โดยนายพาริฯ ได้ให้การก่อนถูกจับ นายจิเซ็ง ไม่ทราบนามสกุล ซึ่งเป็นสามีของ น.ส.ซารีปะ ประดู่ หรือ ก๊ะละ ฯ ได้โทรศัพท์มาแจ้งว่า จะนำคนต่างด้าวมาฝากไว้กับตนเอง โดยแบยัง (ไม่ทราบนามสกุล) จะเป็นคนนำมา ต่อมาแบยัง ฯ(กำลังหาความเชื่อมโยงตัวบุคคล) ได้ขับรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ สีเขียว ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน นำคนต่างด้าวมาฝากไว้กับตนเอง และบอกว่า กะละห์ หรือ น.ส.ซารีปะ ประดู่ เป็นคนให้พาคนต่างด้าวมาฝากไว้ โดยช่วงบ่าย ก๊ะละห์ ฯ จะไปรับคนต่างด้าวเพื่อนำไปส่งต่อที่ชายแดนไทย – มาเลเซีย

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงกล่าวหาว่า “ให้ที่พักพิงแก่บุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย” จากนั้นได้ควบคุมตัวนายพาริ ฯ และคนต่างด้าวนำส่ง สภ.ยะหริ่ง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ในส่วนของคนต่างด้าว จำนวน 7 ราย พนักงานสอบสวนดำเนินการนำส่ง ตม.จว.ปัตตานีเพื่อทำการผลักดันออกนอกประเทศตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522

จากการสอบสวนผู้ต้องหา พงส.ได้ดำเนินการ โดย นายพาริ ฯ ได้ให้การในฐานะพยานยืนยันตัวผู้จ้างวานใช้ให้กระทำผิด และได้ชี้ภาพยืนยันว่าผู้ใช้ให้กระทำผิด คือ น.ส.ซารีปะ ประดู่ ไว้ชัดเจนมั่นคงแล้ว ประกอบกับได้มีรายงานการสืบสวนของ จนท. กก.สส.ภ.จว. ปัตตานี ร่วมกับ ตม.จว.ปัตตานี ได้ทำรายงานสืบสวนถึงความเชื่อมโยง ยืนยันว่า นายจิเซ็งฯ ซึ่ง โทรหานาย พาริฯ ผู้ต้องหาว่าจะนำตัวคนต่างด้าวมาฝากไว้ที่บ้านตน คือสามีของนางสาว ซารีปะ ฯ ชื่อ นายแซมเซ็ง สาแร๊ะ หรือใช้ชื่อเล่นว่า (จิเซ็ง) ซึ่งนายพาริฯชี้ภาพประกอบยืนยันตัว พนักงานสอบสวนจึงกล่าวโทษ น.ส.ซารีปะ ฯ และนายเซมเซ็งฯ หรือนายจิเซ็งฯ ว่า “ ร่วมกัน เป็นผู้ใช้ ผู้จ้าง ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐาน กระทำการด้วยประการใดๆ อันเป็นการอุปการะหรือช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวให้เข้ามาในราชอาณาจักรให้ที่พักพิงแก่บุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ”

วันนี้ วันที่ 6 ธ.ค.65 เวลา 13.30 น. ชุดจับกุมตามบันทึกจับกุมได้เข้าปิดล้อมบ้านเป้าหมาย 79/4 ม.1 ต.ตะโละ อ.ยะหริ่ง จว.ปัตตานี โดย น.ส.ซารีปะฯ เป็นเจ้าบ้าน และพบตัวในบ้านดังกล่าว จึงได้แสดงหมายจับศาลจังหวัดปัตตานีที่ จ.741/65 ลง 6 ธ.ค. 65 ต่อมานายแซมเซ็ง สาแร๊ะ หรือใช้ชื่อเล่นว่า (จิเซ็ง) ได้เดินทางมาพบ พงส.สภ.ยะหริ่ง ชุดจับกุมจึงได้แสดงหมายจับศาลจังหวัดปัตตานีที่ จ.742/65 ลง 6 ธ.ค. 65 นำตัวส่ง พงส.สภ.ยะหริ่ง เพื่อดำเนินคดีต่อไป


รองผบช.น. -กต.ตร.กทม. มอบรางวัลโครงการ “ตำรวจทำดี มีรางวัล” ส.ต.อ. สน.ชนะสงคราม บุกชาร์จชายคลุ้มคลั่งบนสะพานพระปิ่นเกล้า

รองผบช.น.- กต.ตร.กทม. มอบรางวัลโครงการ “ตำรวจทำดี มีรางวัล” ส.ต.อ. สน.ชนะสงคราม บุกชาร์จชายคลุ้มคลั่งบนสะพานพระปิ่นเกล้า

วันที่ 6 ธ.ค.65 เวลา 16.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) : พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. ได้มอบประกาศเกียรติคุณและรางวัลในโครงการ “ตำรวจทำดี มีรางวัล” ให้แก่ ส.ต.อ.กฤษณชัย ศรีเจริญ ผบ.หมู่ (จร.)สน.ชนะสงคราม เข้าระงับเหตุชายคลุ้มคลั่งบนสะพานพระปิ่นเกล้า ซึ่งสามารถช่วยให้รอดปลอดภัย โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ โดยมี ดร.พีรวัฒน์ สุรเศรษฐ ประธาน กต.ตร.กทม.(ภาคประชาชน)-สน.ชนะสงคราม และ ดร.ธัชวิน สุรเศรษฐ ประธาน กต.ตร.บก.น.1-ประธานที่ปรึกษาสน.ชนะสงคราม ร่วมมอบรางวัลและได้กล่าวชื่นชม เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่และเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ข้าราชการตำรวจและสังคมสืบไป


สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน

วช.ร่วมกับ ม.ราชภัฏ 38 แห่ง ผนึกกำลัง ยกระดับศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนเชิงวัฒนธรรมสร้างคุณค่าอัตลักษณ์พื้นถิ่นบนเศรษฐกิจ BCG

วช. ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏ 38 แห่ง ผนึกกำลัง ยกระดับศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนเชิงวัฒนธรรมสร้างคุณค่าอัตลักษณ์พื้นถิ่นบนเศรษฐกิจ BCG

วันที่ 6 ธันวาคม 2565 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ เครือข่ายวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศทั้ง 38 แห่ง มีสถาบันวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา เป็นแกนนำจัดกิจกรรมนำเสนอและเผยแพร่ผลงานวิจัย ภายใต้โครงการยกระดับศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนเชิงวัฒนธรรม เพื่อสร้างคุณค่า อัตลักษณ์พื้นถิ่นด้วยภูมิปัญญาและนวัตกรรมบนฐานเศรษฐกิจ BCG โดยมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นประธานในพิธี พร้อมกันนี้มี ผศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา และนักวิจัยจากเครือข่าย มหาวิทยาลัยราชภัฏ 38 แห่ง ร่วมขับเคลื่อนกิจกรรม ณ ห้องประชุมแคทรียา โรงแรมรามา การ์เด้นส์ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า กิจกรรมนำเสนอและเผยแพร่ผลงานวิจัย เครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏ 38 แห่ง ซึ่งดำเนินการขับเคลื่อนต่อเนื่องในปีที่ 3 ภายใต้เแผนงานวิจัย เรื่อง “การยกระดับศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนเชิงนวัตกรรมเพื่อสร้างคุณค่าอัตลักษณ์พื้นถิ่นด้วยภูมิปัญญาและนวัตกรรมบนฐานเศรษฐกิจ BCG” เป็นสถาบันการศึกษาในพื้นที่ที่มีส่วนสำคัญอย่างในการร่วมกันพัฒนาท้องถิ่นเนื่องจากอยู่ใกล้กับพื้นที่และชุมชน ทำให้เห็นปัญหาของพื้นที่อันนำไปสู่การนำองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปช่วยยกระดับศักยภาพและพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้กับชุมชนโดยรอบ รวมถึงเครือข่ายพันธมิตรกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายต่างๆ ที่มีบทบาทในการใช้องค์ความรู้ ร่วมกันผลักดันและขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนประเทศตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ของชาติและแนวทางนโยบายของรัฐบาลเป็นอย่างดีโดยได้ดำเนินการยกระดับศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนเชิงนวัตกรรม เพื่อสร้างคุณค่าอัตลักษณ์พื้นถิ่นด้วยภูมิปัญญาและนวัตกรรมบนฐานเศรษฐกิจ BCG ส่งผลให้เกิดผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวโดยชุมชนเชิงสร้างสรรค์ ทั้งด้านมูลค่าและคุณค่าบนฐานอัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น เกิดผลิตภัณฑ์มากมายซึ่งกระจายอยู่ในทุกภูมิภาคของประเทศสู่ระดับสากล โดยการสื่อสารต่อสาธารณชน เกิดการกระจายผลการดำเนินงานจากการนำองค์ความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ยกระดับศักยภาพของชุมชนในวงกว้าง เพื่อการรับใช้สังคมอย่างแท้จริง

ซึ่งในการนำเสนอและเผยแพร่ผลงานวิจัยในครั้งนี้ เป็นการขับเคลื่อนเครือข่ายนักวิจัยเพื่อการพัฒนาพื้นที่ด้านการท่องเที่ยวโดยชุมชนเครือข่ายสถาบันวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยราชภัฏ แบ่งการทำงานเป็น 7 กลุ่มมหาวิทยาลัย ราชภัฏ ประกอบไปด้วย มหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มรัตนโกสินทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มศรีอยุธยา มหาวิทยาลัย ราชภัฏกลุ่มอีสานเหนือ มหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มอีสานล่าง มหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคเหนือมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคตะวันตก และมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคใต้ โดยมีเป้าหมายยุทธศาสตร์และพันธกิจเดียวกัน แบ่งพื้นที่รับผิดชอบครอบคลุมทุกภูมิภาคในประเทศ ทำหน้าที่ในการนำความรู้เพื่อสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืน เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายเชิงพื้นที่ พัฒนาและยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวโดยชุมชน ในแผนงานการยกระดับศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนเชิงสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาพื้นที่บนฐานอัตลักษณ์ท้องถิ่น ปีที่ 1 และ 2 พัฒนาโปรแกรมการท่องเที่ยว ของฝาก ของที่ระลึก กิจกรรมทางการท่องเที่ยวโดยชุมชน รวมทั้งการพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพของชุมชนในการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน และช่องทางการสื่อสารการตลาดเพื่อทำให้เกิดรายได้ทางเศรษฐกิจในระดับชุมชน ในพื้นที่ 48 ชุมชน มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวโดยชุมชนให้ได้รับมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในประเภทต่างๆ ขับเคลื่อนต่อเนื่องในปีที่ 3 ผ่านโครงการยกระดับการท่องเที่ยวโดยชุมชนเชิงนวัตกรรมเพื่อสร้างคุณค่าอัตลักษณ์พื้นถิ่นด้วยภูมิปัญญาและนวัตกรรมบนฐานเศรษฐกิจ BCG คัดเลือกมา 7 พื้นที่ 7 ผลิตภัณฑ์ เพื่อพัฒนาให้เป็นโมเดลต้นแบบตลอดห่วงโซ่การพัฒนา ยกระดับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนสู่การจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนเพื่อสังคม CBT-SE ผลิตภัณฑ์สามารถขายได้จริงให้กับกลุ่มผู้ซื้อ/นักท่องเที่ยวคุณภาพ สร้างความชัดเจนในอัตลักษณ์บนศักยภาพมหาวิทยาลัยราชภัฏและเชื่อมโยงภารกิจความรับผิดชอบร่วมกับหน่วยงานภาคี

ทั้งภายในและภายนอกอย่างมีพลวัตบนฐานอัตลักษณ์ชุมชนในบริบทที่แตกต่างกันของแต่ละภูมิภาค บนฐานเศรษฐกิจ BCG ตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน


สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน

ผบ.ตร. มอบรางวัล ส.ต.อ. จราจร สน.ชนะสงคราม และพลเมืองดี บุกชาร์จสยบชายคลุ้มคลั่งบนสะพานพระปิ่นเกล้า ชื่นชมความกล้าหาญ เป็นแบบอย่างที่ดี

ผบ.ตร. มอบรางวัล ส.ต.อ. จราจร สน.ชนะสงคราม และพลเมืองดี บุกชาร์จสยบชายคลุ้มคลั่งบนสะพานพระปิ่นเกล้า ชื่นชมความกล้าหาญ เป็นแบบอย่างที่ดี

วันที่ 6 ธ.ค.65 เวลา 13.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ : พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มอบรางวัล โครงการ “ทำดี มีรางวัล” กรณี ส.ต.อ.กฤษณชัย ศรีเจริญ ผบ.(หมู่) จร.สน.ชนะสงคราม พร้อม นายบุญสิน ชาวนา พลเมืองดี ช่วยชีวิตชายคลุ้มคลั่งใช้มีดจี้คอตัวเองบนสะพานพระปิ่นเกล้า

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ เปิดเผยว่า กรณีปรากฎเหตุการณ์ มีกระแสชื่นชมการปฏิบัติงานของตำรวจ และพลเมืองดี ในโลกโซเชียลมิเดีย เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.65 เวลาประมาณ 08.00 น. โดยมีพลเมืองดีแจ้งว่าพบ “ชายคลุ้มคลั่ง” พยายามใช้มีดจี้คอตัวเอง อยู่บนสะพานสมเด็จ พระปิ่นเกล้า แขวงอรุณอัมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ ส.ต.อ.กฤษณชัยฯ กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่บริเวณท้องสนามหลวงที่มีพิธีทำบุญตักบาตรในวันพ่อแห่งชาติ ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุ ตอนนั้น ส.ต.อ.กฤษณชัยฯ ตัดสินใจโบกรถจักรยานยนต์ของพลเมืองดี ทราบชื่อในภายหลัง คือ นายบุญสิน ชาวนา ที่ขี่รถจักรยานยนต์ขึ้นมาพอดี จึงได้นั่งรถจักรยานยนต์ของนายบุญสินฯ ขึ้นมาบนสะพานด้วยกัน

จากนั้นจึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบชายไม่ทราบชื่อ อายุประมาณ 60 ปี สวมเสื้อสีเหลือง นุ่งกางเกงขาสั้นสีเทา ในมือขวาถืออาวุธมีดสั้นจี้ที่คอตัวเอง ส่วนมือซ้ายถืออาวุธมีดข่มขู่ไม่ให้ใครเข้าใกล้ ชายดังกล่าว อยู่ในอาการ คลุ้มคลั่ง มีรอยเลือดที่ลำคอ พูดจาโวยวายไม่ให้ใครเข้าใกล้ตน ซึ่งมีท่าทางจะทำร้ายตนเอง

ส.ต.อ.กฤษณชัยฯ ร่วมกับนายบุญสินฯ ได้วางแผนโดยจะอาศัยจังหวะที่ชายดังกล่าวเผลอแล้วเข้าชาร์จทันที โดยคว้ามีดไว้ ขณะที่เข้าชาร์จชายคนดังกล่าวเกิดสะบัดไม่ยินยอมให้ควบคุมตัว จึงได้ยื้อยุดฉุดกระชากอยู่กลางถนน ท่ามกลางรถยนต์ที่วิ่งไปมาบนสะพาน ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะล็อคตัวช่วยไว้ได้อย่างปลอดภัย หลังควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ ได้วิทยุแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางยี่ขัน เข้ามารับตัวไปสงบสติอารมณ์ที่โรงพัก ทั้ง ส.ต.อ. กฤษณชัยฯ และ นายบุญสินฯ สมควรได้รับการเชิดชูเกียรติ ยกย่องสรรเสริญ เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ข้าราชการตำรวจและสังคม

ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า “ขอชื่นชมในความกล้าหาญ การตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวพร้อมด้วยไหวพริบปฏิภาณและจิตวิญญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว และทันท่วงที ในการดูแลความปลอดภัย เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นและศรัทธาในการทำงานของตำรวจ ตนจึงได้มอบใบประกาศเกียรติคุณและรางวัลตามโครงการ “ทำดี มีรางวัล” ให้เป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่และเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ข้าราชการตำรวจและสังคมสืบไป ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่จะมอบรางวัลให้กับข้าราชการตำรวจหรือประชาชนที่ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่น ทำงานเชิงรุก เพื่อความสงบสุขของประชาชน ประกอบคุณงามความดี ช่วยเหลือประชาชน หรือทางราชการ ประพฤติตนดี คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมและช่วยเหลือประชาชนจนเป็นที่ยอมรับต่อสังคม”


สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน

คุณหทัยรัตน์ ผิวพรรณ ที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู ร่วมบริจาคเงินสมทบทุนช่วยเหลือผู้ป่วยจิตเวชยากไร้ ในงานเทศกาล “Happy Gift Fair”

คุณหทัยรัตน์ ผิวพรรณ ที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู ร่วมบริจาคเงินสมทบทุนช่วยเหลือผู้ป่วยจิตเวชยากไร้ ในงานเทศกาล “Happy Gift Fair”

วันที่ 6 ธันวาคม 2565 ณ บริเวณลาน Atrium ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ มูลนิธิโรงพยาบาลศรีธัญญาร่วมกับโรงพยาบาลศรีธัญญา จัดงานเทศกาล” Happy Gift Fair ” มอบของขวัญแห่งความสุข ผ่านกิจกรรมที่สะท้อนถึงของขวัญที่อยากมอบให้กับสังคม ในโอกาส เฉลิมฉลองวาระครบรอบ 82 ปี โรงพยาบาลศรีธัญญา และ 28 ปี มูลนิธิโรงพยาบาลศรีธัญญา พร้อมกับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกใหม่ๆ จากมูลนิธิโรงพยาบาลศรีธัญญา ในระหว่างวันที่ 5 ธันวาคม 2565 ถึง วันที่ 12 ธันวาคม 2565

ในโอกาสนี้ มูลนิธิพระราหู โดย ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ประธานที่ปรึกษามูลนิธิฯ และ คุณหทัยรัตน์ ผิวพรรณ รองประธานบริหาร บริษัทรักษาความปลอดภัย จีจีไอ.กรุ๊ป จำกัด/ที่ปรึกษากรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฏร และที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู ได้ร่วมบริจาคเงิน จำนวน 200,000 บาท เพื่อสมทบทุนช่วยเหลือผู้ป่วยจิตเวชยากไร้ ของมูลนิธิโรงพยาบาลศรีธัญญา โดยมี นายแพทย์ศิริศักดิ์ ธิติดิลรัตน์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ประธานมูลนิธิโรงพยาบาลศรีธัญญา พร้อมด้วย แพทย์หญิงมธุรดา สุวรรณโพธิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีธัญญา นายแพทย์อภิชาติ จริยาวิลาศ โฆษกกรมสุขภาพจิต และ คุณสุพัตรา จิราธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักนโยบายองค์กรสัมพันธ์และภาพลักษณ์ บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ให้เกียรติร่วมรับมอบ

สำหรับ โครงการนี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “HAPPY GIFT FAIR” คือ การมอบของขวัญแห่งความสุข ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่สะท้อนให้เห็นถึงของขวัญที่อยากมอบให้กับสังคม ทั้ง การมอบโอกาส ผ่านกิจกรรมการประกวดวาดภาพในหัวข้อ “ของขวัญ” ที่เปิดโอกาสให้ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกสถานภาพทางสังคม ได้มีโอกาสเท่าเทียมกัน ในการส่งภาพเข้าประกวด ซึ่งผู้ส่งผลงานเข้าประกวดมีตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา ประชาชนทั่วไป ผู้ต้องขัง ผู้พิการ ตลอดจนพระภิกษุ รวมทั้งสิ้น 630 คน ผ่านการคัดเลือกจนถึงรอบชิงชนะเลิศ จำนวน 8 ภาพ มาจัดแสดง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเทศกาลของขวัญ The Royal Gifts Festival ครั้งที่ 4
 
นอกจากนี้ยังมี กิจกรรมสาธิตการช่วยฟื้นคืนชีพ และการช่วยชีวิตกรณีอาหารติดคอ / สาธิต ดอกไม้จัดใจ การจัดดอกไม้ กิจกรรม Workshop เพิ่มทักษะการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วย / กิจกรรม Mental Health Check In และกิจกรรมการให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตเบื้องต้น /กิจกรรมการแสดงจากศิลปินรับเชิญมากมาย  และที่สำคัญ ผู้ร่วมงาน จะได้เป็นส่วนหนึ่งของการมอบความรัก ผ่านการร่วมบริจาคสมทบทุนช่วยเหลือผู้ป่วยจิตเวชยากไร้ และร่วมรับของที่ระลึกจากมูลนิธิโรงพยาบาลศรีธัญญา โดยภายในงาน วันที่ 5 ธันวาคม มีบริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ผู้ร่วมงานที่ต้องการฉัดวัคซีนเข็มกระตุ้นด้วย งานนี้จะจัดขึ้น ตั้งแต่วันที่ 5 – 12 ธันวาคม 2565 ที่ลาน Atrium ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์


สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน

ผู้ว่าฯ ชุมพร ลงพื้นที่ท่าแซะ ติดตามสถานการณ์น้ำและสั่งการช่วยเหลือในพื้นที่

ผู้ว่าชุมพร ลงพื้นที่ท่าแซะ ติดตามสถานการณ์น้ำและสั่งการช่วยเหลือในพื้นที่

วันที่ 6 ธันวาคม 2565 เวลา 13.00 น. นายวิสาห์ พูลศิริรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร พร้อมด้วย นายฐิติวัชร บุญกิจ นายอำเภอท่าแซะ นายอาสา จุลทับ ประชาสัมพันธ์จังหวัดชุมพร และคณะลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัย และบัญชาการเหตุการณ์ในพื้นที่ ตำบลท่าแซะ อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร พร้อมเยี่ยมเยียนให้กำลังใจพี่น้องประชาชนที่ประสบเหตุอุทกภัย รวมถึงให้กำลังใจเจ้าหน้าที่อำเภอ กู้ภัย และท้องถิ่น ซึ่งทำหน้าที่ให้การช่วยเหลือมาตั้งแต่เกิดสถานการณ์

ในการนี้ได้เยี่ยมเยียนและตรวจสอบความเสียหาย บ้านพังเสียหาย เนื่องจากน้ำกัดเซาะและดินทรุด จำนวน 1 หลัง และได้สั่งการให้โครงการชลประทานชุมพร จัดทำเขื่อนป้องกันตลิ่งชั่วคราว ให้การช่วยเหลือบรรเทาความเสียหายในเบื้องต้น


สำนักข่าวความมั่นคง
ศูนย์ข่าวชุมพร ระนอง
สุรัตน์ รุกเขตต์ รายงาน

ททท.สำนักงานนครพนม นครพนม ชี้นครพนม ฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยว เป็น อันดับที่ 1 ในภาคอีสาน คิดเป็น 132 %

ททท.สำนักงานนครพนม นครพนม ชี้นครพนม ฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยว เป็น อันดับที่ 1 ในภาคอีสาน คิดเป็น 132 %

นางสาวกนกวรรณ ดุงศรีแก้ว ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานนคร พนม กล่าวว่า ตลอดเดือนมกราคม 2565 – กันยายน 2565 การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวใหม่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดนครพนม เป็น อันดับที่ 1 คิดเป็น 132 % สาเหตุนี้มาจากด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดนครพนม เริ่มมีการฟื้นตัวมาโดยตลอด ภายหลังสถานการณ์โควิด 19 คลี่คลาย ทาง ททท.สำนักงานนครพนม ได้ใช้สื่อออนไลน์ในการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวที่มีความสวยงามโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทิวทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำโขงของนครพนม โดยได้เผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์ตลอดเวลาโดยใช้ Concept ว่าคิดถึงนครพนม ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางแรกของนักท่องเที่ยว จากกระแสตอบรับใน Content ต่างๆผ่านสื่อออนไลน์ นักท่องเที่ยวต่างอยากจะมาเที่ยวจังหวัดนครพนม เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้เนื่องจากนครพนมเป็นจังหวัดที่มีเส้นทางแห่งศรัทธาอาทิพระธาตุพนม พระธาตุประจำวันเกิด เส้นทางตามรอยพญานาค องค์พญาศรีสัตตนาคราช อีกหนึ่งเส้นทางที่โดดเด่นคือถ้ำนาคี ซึ่งเป็นกระแสที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ที่ถนนสวรรค์ชายโขง อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม เป็นพื้นที่ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทุก Generation โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่ดูแลตัวเอง และรักษาสุขภาพ ตอกย้ำว่านครพนมเป็นเมืองแห่งความสุข และเป็นเมืองแห่งสุขภาพ นักท่องเที่ยวสามารถจะวิ่งเดินออกกำลังกายได้ โดยใช้พื้นที่ถนนสวรรค์ชายโขง ซึ่งเป็นเส้นทางที่สวยที่สุดในประเทศไทยที่มีภูเขาของประเทศเพื่อนบ้านเป็นวิวขนาบข้าง สามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวได้ ส่วนผู้ประกอบการที่พักโรงแรม ก็มีการพัฒนาตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ ตอกย้ำว่านครพนมเป็นเมืองแห่งความสุข สุขที่สุดที่นครพนม นครพนม 3 ที่สุด คือ “ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ” พระธาตุพนม และพระธาตุประจำวันเกิด ” สวยที่สุด” สะพานมิตรภาพ 3 และ “งามที่สุด” ทิวทัศน์ริมฝั่งโขง

ล่าสุดในช่วงปีใหม่ 2566 นี้ จังหวัดนครพนมเตรียมจัดงาน “Nakhonphanom Winter Festival 2023 ตอนสายลมแห่งความสุข” หรือ Winter Of The Happiness เป็นการตอกย้ำว่านครพนมคือเมืองแห่งความสุข สุขที่สุดที่นครพนม จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 26 ธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2566 ด้วยบรรยากาศที่ดี อากาศที่เหน็บหนาว จึงอยากเชิญชวนทุกท่านมาร่วมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2566 มาร่วมเคาท์ดาวน์ที่นครพนม ที่สำคัญสามารถมากราบไหว้ขอพรพระธาตุพนม และพระธาตุประจำวันเกิดทั้ง 8 พระธาตุ ขอพรพญาศรีสัตตนาคราช เคาท์ดาวน์ปีใหม่ปีนี้ นึกถึงจังหวัดนครพนมเป็นที่แรกค่ะ..นางสาวกนกวรรณ กล่าว…..

ทั้งนี้ ข้อมูลอ้างอิงจาก : กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุในเดือน กันยายน ปี 2565 ภาคอีสานมีจำนวนนักท่องเที่ยว 2,789,487 คน แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวคนไทย 2,680,022 คน และนักท่องเที่ยวจากต่างชาติ 109,465 คน อีกทั้งยังมีรายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 4,829.9 ล้านบาท โดยรายได้หลักยังคงมาจากคนในประเทศ 3 จังหวัดภาคอีสาน ที่มีการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวไทยสูงสุด ในปี 2565 เทียบกับ ปี 2562 (ก่อนเกิดเหตุการณ์ COVID-19)

อันดับ 1. นครพนม ฟื้นตัว 132% จำนวนนักท่องเที่ยวปัจจุบัน 144,267 คน
อันดับ 2. บุรีรัมย์ ฟื้นตัว 130% จำนวนนักท่องเที่ยวปัจจุบัน 256,030 คน
อันดับ 3. บึงกาฬ ฟื้นตัว 123% จำนวนนักท่องเที่ยวปัจจุบัน 58,687 คน

เนื่องจากสถานการณ์ต่างๆดีขึ้น คนเริ่มหันมาท่องเที่ยวมากขึ้นโดย ในจังหวัดนครพนม มีแหล่งท่องเที่ยวที่มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นพระธาตุพนม พระธาตุเรณูนคร พญาศรีสัตตนาคราช อีกทั้งยังมีร้านกาแฟ ร้านอาหารแหล่งใหม่และด้านโรงแรมมีการปรับตัวให้เข้ากับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น ผู้ประกอบการในทุกภูมิภาคของประเทศคาดว่าในไตรมาส 4 นี้สถานการณ์การท่องเที่ยวจะปรับตัวดีขึ้นทั่วประเทศ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (peak season) และการส่งเสริมกิจกรรมใหม่ ๆ ที่น่าสนใจจาก ททท. โดยผู้ประกอบการในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คาดว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวจะดีขึ้นมากกว่าภูมิภาคอื่น ๆ รองลงมาคือภาคใต้ และกรุงเทพฯ หากมองเป็นรายธุรกิจพบว่า ผู้ประกอบการร้านอาหาร คาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 4 นี้จะดีกว่าไตรมาส 3 ที่ผ่านมา รองลงมาคือ ธุรกิจที่พักแรม และร้านขายของฝาก/ของที่ระลึก


ชรายุทธ พัฒน์ธรรมรงค์ ข่าว/ส.ปชส.นครพนม
เทพข่าวร้อนรายงาน

อดีต สสร.สารตั้งต้นป่าดงพะทาย ไม่หวั่นอำนาจมืดดับเครื่องชน แฉเพิ่ม “สหายแสง” ครอบครองดินกว่า 90 แปลงนับหมื่นไร่ เคยถูกคู่กรณีฟ้องมาแล้ว

นครพนม – อดีต สสร.สารตั้งต้นป่าดงพะทาย ไม่หวั่นอำนาจมืดดับเครื่องชน แฉเพิ่ม “สหายแสง” ครอบครองดินกว่า 90 แปลงนับหมื่นไร่ เคยถูกคู่กรณีฟ้องมาแล้ว

วันที่ 6 ธันวาคม 2565 บริเวณม้าหินอ่อนภายในสำนักงานที่ดินจังหวัดนครพนม ถนนอภิบาลบัญชา เขตเทศบาลเมืองนครพนม นายเศวต ทินกูล หรือนายจิหล่อ อายุ 63 ปี อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ปี 2550 ได้ออกมาเคลื่อนไหวปมที่ดินดงพะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม โดยเปิดเผยว่า จากกรณีเกิดการถกเถียงกัน เกี่ยวกับปมการครอบครองป่าดงพะทายของนักการเมืองดัง คือ นายศุภชัย โพธิ์สุ หรือครูแก้ว หรือสหายแสง ส.ส.นครพนม เขต 1 พรรคภูมิใจไทย รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง และอดีตยังเคยดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (รมช.เกษตรฯ) ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ หลังถูกร้องเรียนให้สอบสวนเพราะอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย จริยธรรม ของคณะกรรมการจริยธรรม สภาผู้แทนราษฎร ตนยอมรับว่าทนไม่ได้ ที่เห็นความไม่เป็นธรรมในสังคม จึงต้องการออกมาเปิดเผยผ่านสื่อให้สังคม รวมถึงชาวนครพนม รับรู้ที่ไปที่มาข้อเท็จจริง

ทั้งนี้ ตนเป็นต้นเรื่องที่นำหลักฐานไปยื่นร้องเรียนให้สภาผู้แทนราษฎร และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้มีการตรวจสอบเอาผิด ตั้งแต่ปี 2552 ในช่วงที่สหายแสงหรือครูแก้วมีตำแหน่งทางการเมือง เป็น ส.ส. และเป็น รมช. เกษตรฯ แต่ไม่มีการพิจารณาตัดสินความผิด เพราะมีการแช่แข็งด้วยอำนาจมืด จนกระทั่งล่าสุดเจ้าของฉายาวีรบุรุษนาแก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย มีตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปรามปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ตนจึงให้ข้อมูลเพื่อนำเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง เพื่อให้ความชัดเจนกับสังคม

นายจิหล่อผู้เป็นสารตั้งต้นเรื่องดังกล่าว เปิดเผยว่าสืบเนื่องจากป่าดงพะทาย เดิมเป็นที่รกร้างว่างเปล่า แต่เป็นที่ดินของรัฐ ที่มีการจัดสรรให้คนยากจน ชาวบ้านยากไร้ทำกิน ไม่ต้องพูดถึงรายละเอียดในข้อกฎหมาย แค่ถามว่าสหายแสงควรที่จะเข้าไปครอบครองหรือไม่ การซื้อขายใบจับจอง ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่

นายเศวต ทินกูล หรือจิหล่อกล่าวอีกว่า มาถึงวันนี้ตนต้องการความชัดเจน พร้อมอยากให้รับรู้ข้อมูลเพิ่มเติม ที่เป็นข้อเท็จจริงตรวจสอบได้ ว่า สหายแสงมีการครอบครองที่ดินป่าดงพะทายมากกว่า 39 แปลง รวม 200 ไร่ ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดฯ และสำนักงานที่ดินแทงจำหน่วย แต่มีข้อมูลเพิ่มเติมว่ายังมีการครอบครองพื้นที่ป่าดงพะทายมากกว่า 90 แปลง รวมพื้นที่กว่า 10,000 ไร่ โดยมีทายาทเกี่ยวข้องด้วย ยืนยันมีหลักฐานชัดเจน ที่ใช่การกล่าวหา แต่ไม่สามารถนำออกมาเปิดเผยได้ ต้องให้หน่วยงานเกี่ยวข้องมีการตรวจสอบ ที่สำคัญอยากถามสหายแสง ว่า ที่ดินป่าดงพะทาย เป็นที่จัดสรรให้เกษตรกร ควรที่จะเข้าไปครอบครองทำกินหรือไม่ ตนถือว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอาย อยากให้นายกตู่และเสี่ยหนู อนุทิน ทบทวนอย่าปกป้องคนผิด อายชาวบ้านเขา อายแทนคนนครพนม คนที่ยากจนไม่มีที่ทำกิน ยังรอความหวังอีกมากมาย ตนพร้อมที่จะเดินหน้าพิสูจน์ความจริงผิดคือผิด เคยถูกสหายแสงฟ้องดำเนินคดีมาแล้ว โดยกล่าวหาว่าหมิ่นประมาท ใส่ร้าย สุดท้ายความจริงคือความจริง ศาลจังหวัดนครพนมยกฟ้อง ตนยืนยันไม่กลัวอำนาจมืด ต้องการให้เป็นกรณีตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็นใคร มีอำนาจแค่ไหนจะต้องไม่อยู่เหนือกฎหมาย คณะกรรมการจริยธรรมสภาผู้แทนฯ ต้องชัดเจน รวมถึง ป.ป.ช.ต้องทำงานตรงไปตรงมา

“หากคดีนี้สหายแสงรอดความผิด ผมประกาศตัวว่าจะขอย้ายไปอยู่ต่างประเทศ เพราะถือว่าประเทศไทยหาความเป็นธรรมไม่มี ส่วนสหายแสง อ้างว่า เมื่อมีการจำหน่ายกลับคืนสภาพที่ดินเป็นที่รกร้างว่างเปล่า ไม่ต้องตีความให้ยาก หมายถึงกลายเป็นที่ดินรัฐ จะเข้าไปครอบครองไม่ได้ รอการจัดสรร และการซื้อใบจับจองจากชาวบ้านถือว่าผิด หากไม่ผิดต่อไปตนจะพานายทุนมากว้านซื้อใบจับจองกับชาวบ้านเช่นกัน ฝากให้สหายแสงกลับไปอ่านทบทวนประมวลกฎหมายที่ดินอีกรอบ เพื่อจะได้เข้าใจมากกว่านี้


เทพข่าวร้อน
สำนักข่าวความมั่นคง
จังหวัดนครพนม รายงาน

ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดจันทบุรี นำสมาชิกชมรม พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ ร่วมกิจกรรม ปลูกผักกินเอง มีเหลือแบ่งปัน น้อมนำแนวทางพระราชดำริหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

จันทบุรี – ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดจันทบุรี นำสมาชิกชมรม พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ ร่วมกิจกรรม ปลูกผักกินเอง มีเหลือแบ่งปัน น้อมนำแนวทางพระราชดำริหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

วันนี้ (6 ธ.ค.65) ที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี นางวารุณี ไพศาลธนวัฒน์ ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดจันทบุรี นำสมาชิกของชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดจันทบุรี หัวหน้าส่วนราชการ ร่วมกิจกรรม ปลูกผักกินเอง มีเหลือแบ่งปันโดยกิจกรรม “ปลูกผักกินเอง มีเหลือแบ่งปัน” ได้รับแรงบันดาลใจ และต่อยอดมาจาก การศึกษาดูงาน ที่ศูนย์การเรียนรู้โก่งธนูโมลเดล จังหวัดลพบุรี ที่ได้น้อมนํา พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องหลักการทรงงาน “บวร” “บรม” “ครบ” อันหมายถึง บ้าน พี่น้องประชาชน ผู้นําท้องถิ่น ท้องที่ราชการ และ ภาคผู้นำศาสนา แนวทางดำเนินโครงการในพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในเรื่องของการน้อมนำเอา หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การพึ่งพาตนเองของพระบาทสมเด็จพระบรม ชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้วยการใช้ชีวิตอย่างมี เหตุมีผล และที่สําคัญที่สุดที่เป็นต้นแบบทําให้โด่งดังไปทั่ว คือ “โครงการบ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” และ “ทางนี้มีผลผู้คนรักกัน” และต้องการส่งเสริม ชักชวนให้หัวหน้า ส่วนราชการ และสมาชิกร่วมเป็นแบบอย่าง การดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง

สำหรับแนวคิดการดําเนินกิจกรรม เพื่อมุ่งสร้างความมั่นคงทางอาหารในครัวเรือนโดยใช้ ประโยชน์พื้นที่ใช้สอย พื้นที่ว่างในบ้านและชุมชน และเมื่อมีเหลือสามารถแบ่งปัน สร้างความมั่นคง และขยายสังคมแห่งการแบ่งปันในชุมชนได้ ไปจนถึงเมื่อปลูกผักทาน เองยังเป็นการลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น และมีสุขภาพที่ดีด้วยทางชมรม ฯ

จึงขอเชิญชวนท่าน ร่วมปฏิบัติบูชาปลูกผักสวนครัว อย่างน้อยจำนวน 10 อย่างในบ้านเพื่อเป็น แบบอย่าง ให้กับชุมชน มีกิจกรรมที่ทําให้เกิดความรักความสามัคคี ในครอบครัวใน ชุมชน และจะทำให้ทุกครัวเรือนมีความมั่นคงด้านอาหาร และช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อม ให้ยั่งยืนต่อไป


ภาพ/ข่าว จรัล บรรยงคเสนา จ.จันทบุรี
พรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์รวมข่าวภาคตะวันออก